วันศุกร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2555

ปวดหัวไมเกรน - โรคปวดหัวข้างเดียว

โรคปวดหัวข้างเดียว หรือ โรคปวดหัวไมเกรน จะพบได้ในคนประชากรทั่วไป ประมาณ 5-10% และพบได้ในทุกเพศทุกวัย แต่จะพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย และช่วงอายุที่พบบ่อยคือ ช่วง 10-30 ปี โรคปวดหัวไมเกรนนี้มักเรื้อรัง เป็นๆ หายๆ มักจะเริ่มเป็นช่วงเข้าวัยรุ่น โดยเฉพาะผู้หญิงที่เริ่มมีประจำเดือน โรคนี้ปกติจะหายไปเองเมื่ออายุ 50 ปีขึ้นไป



ไมเกรนไม่จัดว่าเป็นโรคร้ายแรง แต่สร้างความทุกข์ทรมานและความน่ารำคาญ ทำให้ไม่มีจิตใจที่จะทำงาน โรคไมเกรนเป็นได้กับคนทุกระดับ ทั้ง มีฐานะ และ สติปัญญา คนที่เป็นโรคนี้ มักมีนิสัย จู้จี้ขี้บ่น เจ้าระเบียบ ประมาณ 75% ของคนเป็นโรคไมเกรน มักมีญาติพี่น้องเป็นโรคนี้ด้วย

สาเหตุของการเกิดโรคนี้ยังไม่เป็นแน่ชัด แต่จากการวิจัยพบว่า มีความสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีชื่อ ซีโรโทนิน เป็นสารที่อยู่ในสมอง เมื่อโรคไมเกรนกำเริบ ซีโรโทนินจะลดลง ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการอักเสบของเส้นใยสมองเส้นที่5 ร่วมกับการการหดตัวและขยายตัวของหลอดเลือดแดง ทำให้เลือดไปเลี้ยงเปลือกสมองน้อยลง ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะขึ้นมา

สาเหตุของการกระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะไมเกรน แต่ละคนมีสาเหตุต่างกัน เช่น

  • การใช้สายตาเพ่งภาพอะไรนานๆ เช่น หนังสือ ดูภาพยนตร์ เย็บปักถักร้อย เป็นต้น
  • การสูดได้กลิ่นฉุน เช่น ควันบุหรี่ กลิ่นสารเคมี กลิ่นน้ำมันรถ เป็นต้น
  • การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เหล้า เบียร์
  • การนอนหลับไม่พอ หรือ การนอนตื่นสาย
  • การดื่มกาแฟมากเกินไป
  • การมีแสงสว่างจ้าเข้าตา เช่น แสงไฟกระพริบ กลางแดดจ้า
  • การนั่งรถ เครื่องบิน • การออกกำลังกายมากเกินไป
  • การถูกกระแทกอย่างแรงที่ศีรษะ เช่น ใช้หัวโหม่งลูกบอล
  • ความเครียด ความกังวล 

อาการ

มีอาการปวดศีรษะข้างใดข้างหนึ่ง ปวดตุบๆ บางครั้งอาจปวดสลับข้าง หรือปวดทีละสองข้าง ปวดตามจังหวะการเต้นของหัวใจ การปวดบางครั้งเป็นหลายชั่วโมงหรือเป็นวัน แต่ปกติไม่เกิน 3 วัน

บางคนอาจมีอาการตาพร่า ตาลาย ก่อนเกิดไมเกรน บางครั้ง เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน หน้าชา มือชา อ่อนเพลีย ริมฝีปากชา อาการปวดศีรษะนี้แม้ว่า ไม่กินยาก็มักจะหายเอง

การปฐมพยาบาลและรักษา

เมื่อเริ่มปวดศีรษะไมเกรน ให้นอนในที่เงียบๆ แสงสว่างน้อยๆ และกินยาแก้ปวด 1-2 เม็ด และควรกินทันทีที่ปวดหัว ถ้าปล่อยให้ปวดหัวเกิน 30 นาที อาจไม่ได้ผล ถ้าอาเจียน ให้กินยากแก้อาเจียนด้วย ถ้าปวดหัวอย่างรุนแรง ให้ไปพบแพทย์

ให้ผู้ป่วยสังเกตตัวเองว่า มีสาเหตุอะไรที่ทำให้ปวดหัวไมเกรนบ้าง เพื่อหลีกเลี่ยงจากสิ่งกระตุ้นนั้นๆ และถ้าปวดหัวไมเกรนบ่อย ควรมียาแก้ปวดหัว พกไว้ประจำตัวเสมอ และเมื่อมีอาการ ให้กินยาทันที และควรออกกำลังกายแต่พอเหมาะ

วันพฤหัสบดีที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2555

เป็นสิวทำไงดี – ต้นเหตุของการเกิดสิวและวิธีรักษา

สิวพบได้บ่อยในวัยรุ่น โดยเฉพาะช่วงเข้าสู่วัยหนุ่มสาว อายุ 17-19 ปี แล้วสิวจะค่อยๆหายไปในช่วง 25 ปีขึ้นไป เพศชายและเพศหญิงมีโอกาสเป็นสิวเท่ากัน

สาเหตุของการเกิดสิว ช่วงวัยรุ่น ร่างกายจะสร้างฮอร์โมนเพศ เช่นในเพศชายสร้างฮอร์โมนที่ชื่อว่า เทสโตสเตอโรน ฮอร์โมนชนิดนี้จะกระตุ้นให้สร้างต่อมไขมัน ที่บริเวณผิวหนังซึ่งจะสร้างไขมันออกมาเป็นจำนวนมากและจะระบายออกที่รูขุมขน และถ้าเกิดรูขุมขนเกิดการอุดตันจะทำให้เกิดการคั่งของไขมันที่รูขุมขน เกิดเป็นหัวสิว จะเกิด เป็นสิวเสี้ยน และ เมื่อเกิดการอุดตันมากขึ้น ไขมันจะสะสมในท่อจนพองและแตกออก ทำให้เกิดการอักเสบของสิว



การอักเสบยังอาจเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย พีแอกเนส์ ที่อยู่ในต่อมไขมัน ซึ่งจะย่อยไขมันเป็นกรดไขมันอิสระ ซึ่งทำให้เกิดการอักเสบ และสิวที่อักเสบนี้จะเป็น สิวหัวแดง และถ้าเกิดการอักเสบรุนแรงขึ้นไปอีก จะเป็น หัวสิวที่ปูดโปน ที่เรียกว่า สิวหัวช้าง กรรมพันธุ์ก็อาจมีความสัมพันธ์กับการเกิดสิว จากการวิจัยพบว่า ถ้าพ่อแม่เป็นสิว ลูกก็มีโอกาสอย่างมากที่จะเป็นสิว

ความวิตกกังวล การพักผ่อนไม่เพียงพอ การใช้ยา เช่นยาคุมกำเนิดบางชนิด การระคายผิว เช่นการใช้ผ้าถูหน้าแรงๆ หรือการขัดหน้า การใช้เครื่องสำอาง น้ำมันใส่ผม หรือการทำงานในที่ร้อนชื้น เหล่านี้ อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวด้วย

ในช่วงแรกที่เริ่มเป็นสิว จะพบสิวหัวขาวหรือหัวดำในขนาดเท่าหัวเข็มหมุดที่แก้มหรือหน้าผาก บางคนอาจมีสิวขึ้นที่หลังหรือหน้าอกด้วย ต่อมามีการอักเสบ จะกลายเป็นสิวหัวแดง และตุ่มหนอง เมื่อหัวสิวยุบแล้ว อาจมีรอยสีน้ำตาลดำอยู่หลายอาทิตย์หรือเป็นเดือนก่อนจะจางหายไป ถ้าอักเสบมากจนกลายเป็นสิวหัวช้าง เมื่อหายแล้วอาจเป็นหลุมหรือกลายเป็นแผลเป็น

การรักษาสำหรับผู้เป็นสิว

  1. ล้างหน้าด้วยสบู่อ่อนหรือสบู่เด็กกับน้ำสะอาด วันละไม่เกิน 2 ครั้ง อย่าถูแรงๆหรือล้างหน้านานเกินไป และไม่ควรใช้สบู่มากเกินไปด้วย
  2. ประคบใบหน้าส่วนที่เป็นสิวด้วยน้ำอุ่นจัดๆ วันละ 1-2ครั้ง ครั้งละ ครึ่งชั่วโมง
  3. อย่าใช้เครื่องสำอางที่มีผลต่อต่อมไขมันและผิวหน้า เช่นครีมนวดหน้า หรือ ครีมบำรุงผม ครีมแก้รอยเหี่ยวย่นที่ผสมสเตอรอยด์
  4. ออกกำลังสม่ำเสมอ
  5. อย่าให้ตัวเองเครียดจนเกินไป เพราะจะยิ่งเป็นสาเหตุให้เป็นสิวมากขึ้น
  6. ห้าม บีบสิวโดยเด็ดขาด อาจทำให้ยิ่งอักเสบและลุกลามเป็นสิวมากขึ้น 

ถ้ายังเป็นแค่สิวเสี้ยนหรือสิวหัวขาวหรือสิวหัวดำอยู่ไม่อักเสบ ควรรักษาดังนี้

ใช้ยาทาสิวอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้

  • ไอโซเทรติโนอิน ชนิด เจล ชนิด 0.05% ทาวันละครั้งก่อนนอน
  • เทรติโนอิน ชนิดเจลหรือครีม ชนิด 0.025%, 0.05% และ 0.1% ใช้ทาทั่วใบหน้า ยกเว้นซอกจมูกและรอบดวงตา วันละ 1ครั้งก่อนนอน
  • เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ ชนิดเจลหรือครีมชนิด2.5%, 5% และ 10% เริ่มต้นใช้ความเข้มข้นต่ำก่อน ให้ทาทิ้งไว้ประมาณ 5-10นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด วันละ 2ครั้ง ตอนเช้าและก่อนนอน

วันอังคารที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2555

แก้อาการเป็นตะคริวทำอย่างไร

ตะคริวเป็นอาการกล้ามเนื้อแข็งเกร็งและปวดมากซึ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และอาจเป็นในระยะเวลาไม่นาน กล้ามเนื้อที่เป็นตะคริวบ่อย เป็นบริเวณกล้ามเนื้อต้นขาและน่อง ตะคริวเป็นอาการที่พบได้บ่อยมากและพบได้เป็นครั้งคราวในคนเกือบทุกคน



สาเหตุของตะคริว

มักจะเกิดจากการใช้กล้ามเนื้อบริเวณที่เกิดตะคริวมากผิดปกติในระยะหนึ่ง เช่น เป็นตะคริวหลังออกกำลังมากผิดปกติ หรือ นั่งหรือยืนในท่าที่ไม่สะดวกเป็นเวลานาน (ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก) คนที่มีภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำก็มีโอกาสเป็นตะคริวได้บ่อย โดยเฉพาะ ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ มีโอกาสเป็นตะคริวได้บ่อยขึ้น เนื่องเพราะระดับแคลเซียมในเลือดต่ำ หรือเกิดสภาวะไหลเวียนของเลือดไปขาไม่สะดวก ผู้ป่วยโรคเบาหวาน คนสูงอายุ จะมีความดันโลหิตสูง มีโอกาสเป็นตะคริวได้มากขึ้นด้วย

ในคนที่ร่างกายเสียโซเดียม เนื่องจาก อาเจียน หรือ ท้องเดิน รวมทั้งเสียเหงื่อเป็นอันมาก (ทั้งจากการเล่นกีฬา และจากอากาศร้อน) มีโอกาสสูงที่จะเป็นตะคริวรุนแรง คือ จะเกิดกับกล้ามเนื้อหลายส่วนของร่างกายเป็นตะคริวและระยะเวลาที่เป็นจะนาน

อาการของตะคริว 

คนที่เป็นตะคริว จะรู้สึกจู่ๆกล้ามเนื้อส่วนใดส่วนหนึ่ง (เช่นที่ต้นขาหรือน่อง) เกิดการแข็งตัวของกล้ามเนื้อและจะปวดมาก ถ้าเอามือคลำบริเวณที่เกิดตะคริวจะรู้สึกแข็งเป็นก้อน ยิ่งพยายามขยับกล้ามเนื้อบริเวณนั้นยิ่งแข็งตัวและปวดมากขึ้น การยืดกล้ามเนื้อหรือนวดกล้ามเนื้อบริเวณที่เป็นตะคริว จะช่วยให้อาการหายเร็วขึ้น ปกติตะคริวจะเป็นอยู่ไม่กี่นาทีก็จะหายเอง และเมื่อหายแล้วจะรู้สึกเป็นปกติทุกอย่าง

การรักษาผู้ที่เป็นตะคริว
  • ถ้าเป็นตะคริวตอนนอนตอนกลางคืนบ่อยๆ (เช่น คนสูงอายุ หรือผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์) ควรดื่มนมก่อนนอน และควรให้หมอนรองขาเพื่อยกขาให้สูงขึ้น จากเตียงประมาณ 4 นิ้ว ในผู้สูงอายุที่เป็นตะคริวบ่อยในตอนกลางคืน ควรกินยาไดเฟนไฮดรามีน ขนาด 50 มิลลิกรัม ก่อนนอน ช่วยป้องกันตะคริวได้ ส่วนในผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ อาจกินยา แคลเซียมแลกเทด วันละ 1- 3เม็ด
  • ขณะเป็นตะคริว ให้ยืดกล้ามเนื้อส่วนที่เป็นให้ตึง ใช้มือนวดกล้ามเนื้อบริเวณที่เป็นตะคริว เช่น ถ้าเป็นตะคริวที่ต้นขาให้เหยียดเข่าให้ตรงและยกเท้าขึ้นให้สูงจากเตียงเล็กน้อยโดยกระดกปลายเท้าลงล่างด้วย
  • คนที่เป็นตะคริวที่น่อง ให้เหยียดหัวเข่าให้ตรงและดึงปลายเท้าเข้าหาเข่าให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้
  • คนที่เป็นตะคริวจากการเสียเกลือโซเดียม (เช่น เกิดจาก อาเจียน ท้องเดิน หรือเสียเหงื่อมาก) ควรดื่ม น้ำเกลือแร่ เพื่อชดเชยเกลือแร่ที่สูญเสียไป แต่ถ้าดื่มไม่ได้ ควรให้น้ำเกลือนอร์มัลซาไลน์ทางหลอดเลือดดำ - สำหรับคนที่เป็นตะคริวบ่อยๆ ควรไปพบแพทย์ เพื่อตรวจเช็คความผิดปกติของร่างกาย

วันศุกร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2555

อาหารสำหรับผู้สูงอายุที่เป็นโรคหัวใจหรือความดันโลหิตสูง

อาหารสำหรับผู้สูงอายุที่เป็นโรคหัวใจหรือความดันโลหิตสูง: ควรหลีกเลี่ยงกินอาหารเค็ม เพราะในอาหารเค็มจะมีแร่ธาตุโซเดียม ซึ่งทำให้โรคที่เป็นอยู่รุนแรงขึ้นได้ การจำกัดแร่ธาตุโซเดียมในอาหาร ยังเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาโรคความดันโลหิตสูงที่ได้ผลในผู้สูงอายุนอกเหนือไปจากการกินยา นอกเหนือไปจากการกินยา นอกจากนั้นผงชูรสก็ประกอบด้วยธาตุโซเดียม จึงไม่ควรกินมาก ปริมาณอาหารของแต่ละประเภทควรอยู่ในสัดส่วนดังนี้คือ พวกคาร์โบไฮเดรตราวร้อยละ 75 หรือ ¾ ของทั้งหมด โปรตีนราวร้อยละ 15 ส่วนไขมันนั้นส่วนใหญ่เราได้จากน้ำมันที่ใช้ประกอบอาหารซึ่งน้ำมันที่ดีควรเป็นน้ำมันพืช ยกเว้นน้ำมันจากมะพร้าวหรือน้ำมันปาล์ม เพราะกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวในน้ำมันพืช เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเนื้อเยื่อชนิดต่างๆอยู่ด้วย



ผู้สูงอายุที่เป็นโรคไตควรระมัดระวังการกินอาหาร 


ควรหลีกเลี่ยงอาหารเค็ม ถ้าเป็นโรคไตชนิดที่มีการสูญเสียเกลือแร่ออกทางปัสสาวะ ก็กินอาหารได้ตามปกติ ทั้งนี้ควรได้รับปรึกษาจากแพทย์เป็นรายๆไป อาหารประเภทโปรตีนเนื้อสัตว์โดยเฉพาะเนื้อวัวควรหลีกเลี่ยงยกเว้นเนื้อปลา ควรได้อาหารประเภทโปรตีนวันละ 20-25 กรัม เช่น หมูย่างราว 4 ไม้ เพราะหากกินมากเกินไปจะทำให้ไตที่ยังเหลือต้องทำงานหนักขึ้นกว่าที่ควร ทำให้เสื่อมลงเร็ว นอกจากนั้นต้องลดอาหารที่มีโปแตสเซี่ยม เช่น ผลไม้ ถั่วดำ ถั่วปากอ้า ส่วนผู้ที่ต้องรับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมควรปรึกษาแพทย์ที่ดูแลเป็นรายๆไป

โดยสรุป ผู้สูงอายุควรกินอาหารแต่พออิ่ม ไม่มากเกินไป จากการศึกษาในสัตว์ทดลอง พบว่ากลุ่มให้กินอาหารตามสบายจนอ้วน จะมีช่วงชีวิตสั้นกว่ากลุ่มให้อาหารแต่พอประมาณ การขวนขวายสรรหายาบำรุงเสริมสุขภาพที่โฆษณากันทั่วไปและมักมีราคาแพง ก็ไม่มีประโยชน์เพิ่มขึ้น ไม่คุ้มกับเงินที่เสียไป ถ้าผู้สูงอายุท่านนั้นกินอาหารได้ครบทั้ง 5 หมู่ และไม่มีภาวะท้องร่วงหรือโรคที่ทำให้เบื่ออาหารกินอาหารไม่ได้


การควบคุมอาหารที่ดีช่วยรักษาโรคเบาหวานได้จริง 


สัดส่วนของอาหารแต่ละประเภทสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานเหมือนกับในผู้สูงอายุที่เป็นโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง ที่สำคัญที่สุดคือ การหลีกเลี่ยงอาหารหวานทุกชนิด หรือแม้แต่เครื่องดื่มที่มีรสหวานหลีกเลี่ยงการเกิดภาวะอ้วนโดยไม่กินจุกจิก ไม่กินเสร็จแล้วเข้านอนทันที ควรมีการออกกำลังกายเสริมด้วย ประเภทการออกกำลังกายที่ต่อเนื่องอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง เช่น เดินติดต่อกันเป็นเวลา ครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมง เพื่อเผาผลาญอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่อาจถูกเปลี่ยนเป็นน้ำตาลถ้ากินมากเกินไป นอกจากนั้นการออกกำลังกาย ยังทำให้กล้ามเนื้อใช้น้ำตาลในกระแสเลือดได้ดีขึ้น ทำให้การควบคุมเบาหวานเป็นไปได้ดี สำหรับผู้สูงอายุที่ได้ยาเบาหวานอยู่ด้วย ถ้าเมื่อใด มีภาวะท้องร่วงหรือไม่สามารถกินอาหารได้จากสาเหตุใดก็ตาม ก็กลับมากินยาเบาหวานในวันต่อมา ถ้ากินไม่ได้นานเกินกว่า 2-3วัน ควรรีบปรึกษาแพทย์

วันพฤหัสบดีที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2555

อาหารสำหรับคนเป็นโรคเบาหวาน

โรคเบาหวานคือ โรคที่น้ำตาลในเลือดสูง และอันตรายมักเกิดจากโรคแทรกซ้อนที่ตามมา อันได้แก่ โรคหัวใจ หลอดเลือดเสื่อม ตาเสีย ไตเสื่อม และโรคอื่นๆอีกมาก

โรคเบาหวานได้ทำลายชีวิตคนอเมริกันเป็นอันดับ 6 และโรคนี้ตายด้วยโรคหัวใจเป็นโรคแทรกซ้อนมากที่สุด และ อีก 25%  ตายด้วยโรคเส้นโลหิตในสมองแตก โดยทั่งไป คนเป็นโรคเบาหวานจะป็นราวอายุ 50 ปีขึ้นไป ส่วนคนที่เป็นโรคนี้ตั้งแต่วัยเยาว์ก็มีแต่น้อยมากและจะเป็นรุนแรงกว่าในวัยผู้ใหญ่
80% ของคนที่เป็นโรคเบาหวานมักจะมีน้ำหนักตัวมากเกินไป ดังนั้นแพทย์จึงมักจะแนะนำให้กินอาหารที่มีกากหรือเส้นใย  (Fiber) สู



การวิจัยในต่างประเทศได้ชี้แนะว่า เราควรจะรักษาโรคเบาหวานได้ด้วยวิธีการทางธรรมชาติมี 3 ขั้นตอน กล่าวคือ
•    การรักษาด้วยอาหาร
•    การออกกำลังกาย
•    การกินไวตามินและเกลือแร่

การรักษาด้วยอาหาร ซึ่งตลอดเวลา 50 ปีที่ผ่านมานี้ เชื่อกันว่าอาหารจำพวกแป้ง เช่น ข้าว ขนมปัง และผลไม้และน้ำตาล เป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับคนที่เป็นโรคเบาหวาน และได้ส่งเสริมให้คนไข้โรคเบาหวานกินเนื้อ ไข่ นม เนย ซึ่งมีโปรตีนและไขมันสูงกันตลอดมา ปรากฏว่าการให้อาหารประเภทนี้ทำให้คนเป็นโรคเบาหวานทรุดลงทุกราย แพทย์ปัจจุบันจำนวนหลายท่านจึงมีความเห็นว่าก่อนอื่นต้องเลิกความเชื่อเรื่องอาหารดังกล่าว

ในตำราสมัยใหม่ให้เหตุผลว่า อันตรายต่อโรคเบาหวานนั้นไม่ใช่คาร์โบไฮเดรตแต่เป็นไขมันชนิดอิ่มตัว โดยไขมันชนิดอิ่มตัวนั้นจะเข้าไปขัดขวางการปฏิบัติงานของอินซูลิน ทำให้ไม่สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้

สิ่งสำคัญก็คือ ต้องให้อาหารที่มีกากหรือเส้นใย ซึ่งจะทำให้การดูดซึมอาหารต่างๆช้าลง และทำให้ความต้องการอินซูลินน้อยลงด้วย

อาหารที่แนะนำสำหรับคนที่เป็นโรคเบาหวานคือ ผลไม้ ผักสด ข้าวโพด และ ถั่วต่างๆ

การกินไวตามินและเกลือแร่ คนเป็นโรคเบาหวานมีความผิดปกติทางการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต (การที่ร่างกายนำพวกแป้งและน้ำตาลไปใช้) ไวตามินและเกลือแร่บางชนิดจะช่วยได้เฉพาะอย่างยิ่งไวตามินบีหนึ่ง ดังนั้น ถ้ากินพวกไวตามินบีคอมเพล็กซ์มากๆ ก็ได้เหมือนกัน นอกจากนั้นพบว่าคนเป็นโรคนี้ส่วนมากระดับไวตามินซีต่ำ จึงควรให้กินวันละประมาณ 1-3 กรัม

ไวตามินอี จะช่วยป้องกันตาเป็นต้อในคนเป็นโรคเบาหวาน เพราะจะช่วยป้องกันไม่ให้เกล็ดเลือดมาเกาะกันที่จอตามากนัก อาหารที่มีไวตามินอี คือ วีทเยิร์มสดๆ น้ำมันวีทเยิร์ม น้ำมันข้าวโพด ใบผักกาดเขียว ผลมะกอก เมล็ดข้าวที่ยังไม่ขัด

ธาตุโครเมี่ยม สำหรับทำให้ร่างกายใช้อินซูลินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไวตามินอื่นๆที่ควรกินสำหรับคนเป็นโรคเบาหวาน มีดังนี้คือ

อาหารที่มีไวตามินเอ เช่น ผักใบเขียว ผลไม้ ผักที่มีสีเหลืองจัด
อาหารที่มีไวตามินซี เช่น น้ำมะนาว สับปะรด มะขามป้อม มะเขือเทศดิบ ฝรั่ง กะหล่ำปลี
อาหารที่มีไวตามินบี เช่น หางนมผง ข้าวที่ยังไม่ขัด โยเกิร์ต แบล็คทรีเคิล
แคลเซียม มีอยู่ในอาหารจำพวก นมสด ขนมปังขาว ถั่วลิสง มันฝรั่ง กระเทียม
ฟอสฟอรัส มีอยู่ในอาหารจำพวกนม เนยแข็ง ไข่แดง เนื้อปลา
แมกนีเซียม มีอยู่ในอาหารจำพวก แตงกวา ส้มเกลี้ยง ผักกาดหอม
เหล็ก มีอยู่ในอาหารจำพวก ตับสัตว์ ไข่ หอยนางรม เมล็ดพืช และกระเทียม
ไอโอดิน มีอยู่ในอาหารจำพวกสาหร่ายทะเล พืชทะเลสีเขียว ผักกระเฉด เกลือที่ใช้ในการปรุงอาหาร

วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2555

โรคเบาหวาน – อาการและสาเหตุของโรค

โรคเบาหวานในประชากรทั่วไปมีคนเป็นโรคนี้ ประมาณ 1.5% พบได้ในทุกวัยแต่จะพบมากในผู้สูงอายุตั้งแต่อายุ 40ปีขึ้นไป ผู้หญิงที่มีลูกมากและคนอ้วน มีโอกาสสูงที่จะเป็นเบาหวาน เบาหวาน แบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ตามลักษณะอาการ ความรุนแรง การรักษาที่ต่างกัน และสาเหตุ



เบาหวานชนิดพึ่งอินซูลิน เป็นประเภทที่พบไม่บ่อย แต่อันตรายและความรุนแรงของอาการสูง มักพบในคนที่อายุต่ำกว่า 25ปีและในเด็ก ตับอ่อนของผู้ที่ป่วยเป็นเบาหวานชนิดนี้แทบจะสร้างอินซูลินไม่ได้เลย เนื่องเพราะความผิดปกติจากทางกรรมพันธุ์ หรือได้รับสารผิด ร่วมกับการติดเชื้อ เกิดโรคภูมิต้านตัวเอง ทำให้ร่างกายผู้ป่วยสร้างแอนติบอดีขึ้นมาต่อต้านและทำลายตับอ่อนจนสร้างอินซูลินไม่ได้

ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดนี้ต้องฉีดอินซูลินเข้าทดแทนส่วนที่สร้างไม่ได้ทุกวัน เพื่อที่จะเผาผลาญน้ำตาลได้เป็นปกติ ถ้าไม่ฉีดอินซูลินเข้าร่างกายแล้ว จะทำให้ร่างกายเผาผลาญไขมันแทนน้ำตาล ซึ่งจะมีผลทำให้ผู้ป่วยผ่ายผอมลงอย่างรวดเร็ว

ถ้าเป็นโรคนี้อย่างแรง จะมีการคั่งของสารคีโตน ซึ่งเป็นสารที่เกิดขึ้นมาจากการเผาผลาญไขมัน ซึ่งเป็นพิษต่อระบบประสาท ทำให้ผู้ป่วยเกิดภาวะคั่งสารคีโตน ซึ่งผู้ป่วยจะหมดสติถึงตายอย่างรวดเร็ว

เบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน เป็นเบาหวานที่พบในคนที่เป็นโรคนี้ส่วนใหญ่ ซึ่งมักจะมีความรุนแรงน้อยกว่าประเภทแรก มีโอกาสสูที่จะพบในคนวัย 40 ปีขึ้นไป ตับอ่อนของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดนี้ ยังพอสร้างอินซูลินได้ แต่ได้ปริมาณน้อย ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ทำให้เผาผลาญน้ำตาลได้ไม่หมด กลายเป็นโรคเบาหวานได้ ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดนี้ยังอาจแบ่งเป็น พวกคนที่อ้วนมาก และ ที่ไม่อ้วน สาเหตุคาดว่าเกิดจากกรรมพันธุ์ อ้วนมากเกินไป มีลูกมาก หรือจากการใช้ยา ผู้ป่วยมักไม่ค่อยเกิดภาวะคีโตซิส การควบคุมอาหารและใช้ยาชนิดกิน ก็เพียงพอต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ หรืออาจต้องฉีดอินซูลินบ้างเป็นครั้งคราว

สาเหตุของโรคเบาหวาน โรคเบาหวานเกิดจาก ตับอ่อนของผู้ป่วยสร้างฮอร์โมนอินซูลินได้ไม่เพียงพอต่อการใช้งานของร่างกายหรือผลิตไม่ได้เลย ฮอร์โมนอินซูลินมีหน้าที่ช่วยให้ร่างกายเผาผลาญน้ำตาลออกมาเป็นพลังงาน เมื่อปริมาณอินซูลินไม่เพียงพอ น้ำตาลก็ไม่ถูกเผาผลาญไปใช้ จึงเกิดการสะสมและคั่งของน้ำตาลในเลือดและในอวัยวะส่วนต่างๆ เมื่อคั่งมากๆเข้า ไตก็จะกรองออกมากับปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะที่ออกมาหวาน หรือมีมดมาขึ้นได้ เมื่อผู้ป่วยปัสสาวะออกมา ที่เรียกกันว่า เบาหวาน

ผู้ป่วยเบาหวานปกติจะปัสสาวะบ่อยมาก เนื่องเพราะน้ำตาลที่ออกมาทางไตดึงเอาน้ำออกมาด้วย ทำให้ปัสสาวะมาก ทำให้ผู้ป่วยกระหายน้ำต้องดื่มน้ำบ่อย และเนื่องเพราะผู้ป่วยโรคเบาหวาน ไม่สามารถเผาผลาญน้ำตาลออกมาเป็นพลังงานได้จึงต้องใช้พลังงานจากไขมันแทนจึงทำให้ ร่างกายผ่ายผอม ไม่มีไขมัน กล้ามเนื้อลีบ และไม่มีแรง

โรคเบาหวานนี้เป็นโรคทางกรรมพันธุ์ นั่นคือถ้ามีคนในครอบครัวเป็นเบาหวาน เช่นพ่อแม่เป็นเบาหวาน ลูกก็มีโอกาสเป็นเบาหวานด้วย อาจมีสาเหตุอื่นเช่น อ้วนมากเกินไปเพราะกันของหวานมากจนอ้วน ก็อาจเป็นเบาหวานได้ หรืออาจเป็นเบาหวานจากการใช้ยาพวก สเตอรอยด์ ยาขับปัสสาวะ หรืออาจพบร่วมกับโรคอื่นๆเช่น ตับแข็งระยะสุดท้าย ตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง เป็นต้น

วันอังคารที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2555

ไข้หวัดใหญ่ – อาการ สาเหตุและการป้องกัน

ไข้หวัดใหญ่พบมากในทุกเพศทุกวัย แต่จะเป็นกันบ่อยในฤดูฝน โดยปกติเมื่อผู้ใหญ่ที่มีไข้สูงเกิน 2-3วัน โดยไม่มีอาการอื่นอย่างชัดเจน แพทย์มักจะวินิจฉัยว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ ซึ่งบางครั้งอาจไม่ใช่ก็ได้

ไข้หวัดใหญ่ เกิดจากเชื้อ ไวรัสอินฟลูเอนซา ซึ่งเชื้อนี้มีมากในน้ำลาย น้ำมูก และเสมหะของผู้ป่วย สามารถติดต่อกับผู้อื่นได้โดย การ ไอ หรือ จาม หรือสัมผัสถูกสิ่งของที่ผู้ป่วยใช้หรือมีเชื้อแปดเปื้อน



อาการของไข้หวัดใหญ่ 

ไข้หวัดใหญ่มีระยะฟักตัว 1-4 วัน ไข้หวัดใหญ่ จะมีอาการคือ จะมีไข้ขึ้นสูงแบบทันทีทันใด ไข้ 38.5 – 40 องศาเซลเซียส หนาวๆร้อนๆ ปวดเมื่อยตามร่างกาย และ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ คัดจมูก ไอแห้งๆ มีน้ำมูกใส และ คอแดงหรืออาจไม่แดง และไม่พบความผิดปกติอย่างอื่น มีอาการเจ็บคอ ไข้มักเป็นประมาณ 2-4วัน แล้วจะค่อยๆลดลง มีอาการไอ และอ่อนเพลีย 1-4 สัปดาห์ ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการวิงเวียน เนื่องจากอวัยวะการทรงตัวในหูชั้นในเกิดการอักเสบ และมักจะหายไปใน 3-5 วัน ผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่มีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนได้ เช่น ปอดอักเสบ ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงมักเกิดกับผู้สูงอายุ เด็กเล็ก คนที่สูบบุหรี่จัด หรือผู้ป่วยที่เป็นโรคปอดเรื้อรัง บางครั้งอาจมีภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยๆคือ หูชั้นกลางอักเสบ ไซนัสอักเสบ และหลอดลมอักเสบ

การรักษาและดูแลผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัดใหญ่ 

  • โรคนี้ไม่ใช่โรคร้ายแรง ให้ดูแลตามอาการที่เกิดขึ้น ดื่มน้ำมากๆ ให้อาบน้ำอุ่น อย่าอาบน้ำเย็น ส่วนมากถ้าดูแลร่างกายให้แข็งแรงขึ้น จะหายเอง ใน 3-5 วัน ให้พักผ่อนให้เพียงพอ ถ้านอนน้อย หรือทำงานหนักเกินไป อาจหายช้าหรือมีโรคแทรกซ้อนได้
  • ถ้ามีไข้ ให้ใช้ผ้าชุบน้ำธรรมดาหรือน้ำอุ่น เช็ดตาเนื้อตัว ให้กินอาหารอ่อนๆ เช่น ข้าวต้มหรือโจ๊ก ดื่มน้ำอุ่นมากๆ
  • ถ้าไอให้จิบน้ำอุ่นหรือน้ำผึ้งผสมมะนาว หรืออาจจิบยาแก้ไอก็ได้ สำหรับเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี 
  • ไม่ควรให้กินยาแอสไพรินในการลดไข้ เพราะมีโอกาสเพิ่มความเสี่ยงที่จะทำให้เป็นโรคเรย์ซินโดรมเพิ่มขี้นได้ ไม่จำเป็นต้องกินยาปฏิชีวนะ เว้นแต่มีน้ำมูกสีเหลืองหรือเขียว เพราะมีการแทรกซ้อนจากเชื้อแบคทีเรีย หรือ เป็นไซนัสอักเสบ หลอดลมอักเสบ หรือ หูชั้นกลางอักเสบ ถ้ามีอาการหอบ อาจเป็นปอดอักเสบ โดยเฉพาะเด็กหรือ ผู้สูงอายุ 
  • ให้ส่งโรงพยาบาลเพื่อตรวจร่างกายอย่างละเอียด ถ้ามีไข้เกินกว่า 7 วัน มีโอกาสที่จะไม่ใช่โรคไข้หวัดใหญ่มาก แต่อาจเป็นโรคอื่นเช่น มาลาเรีย ไทฟอยด์ วัณโรคปอด 
  • ไข้หวัดใหญ่และไข้หวัดธรรมดา จะมีอาการคล้ายกันมาก แต่ไข้หวัดใหญ่จะมีไข้สูงและปวดเมื่อยตามเนื้อตามตัว แต่การดูแลรักษาเหมือนกัน

วันพฤหัสบดีที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2555

การป้องกันต้อกระจกในผู้สูงอายุ

ต้อกระจกเป็นภาวะที่เลนส์แก้วตาเกิดขุ่นขาว ทำให้บดบังการมองเห็น ผู้ป่วยจะมีอาการมากหรือน้อย ขึ้นกับระดับความขุ่นและตำแหน่งที่เป็น ต้อกระจกในผู้สูงอายุส่วนใหญ่เกิดจากการเสื่อมของร่างกายเช่นเดียวกับการเสื่อมของผิวหนังหรือสีของผม ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานจะเกิดต้อกระจกได้เร็วกว่าคนปกติ การหยอดยาหรือกินยาที่มีสารประกอบของสตีรอยด์ก็จะเกิดต้อกระจกได้ สำหรับผู้ที่มีความจำเป็นต้องทำงาน หรือต้องสัมผัสแสงแดดดควรใส่แว่นตากรองแสงเพื่อป้องกันแสง อัลตราไวโอเลตซึ่งเป็นอีกสาเหตุหนึ่งของต้อกระจก

การป้องกันและชะลอให้เกิดต้อกระจกช้าลง สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การบำรุงร่างกายให้แข็งแรงกินอาหารที่เป็นประโยชน์มีสารอาหารครบถ้วนทั้ง 5 หมู่ และควรออกกำลังกายให้เหมาะสมกับวัยและสภาพร่างกายอย่างสม่ำเสมอ



คนเป็นต้อกระจกมีอาการอะไรบ้าง ควรจะปฏิบัติตัวอย่างไร


อาการของผู้เป็นต้อกระจก ในระยะเริ่มแรกจะมีอาการตามัวเหมือนฝ้าบางๆ มาบังสายตา อาการตามัวจะเพิ่มขึ้นช้าๆ ไม่มีอาการเจ็บปวดตาจะมัวมากเมื่ออยู่ในที่แสงจ้า ต่อเมื่อเข้าในที่แสงสลัวการเห็นจะเห็นชัดขึ้น บางรายอาจมองเห็นภาพซ้อนได้ ในรายที่เป็นมานานและมากจนเลนส์ตาขุ่นขาวทั้งหมดที่คนทั่วไปเรียกว่า ต้อกระจกสุก เมื่อส่องไฟไปที่รูม่านตาจะเห็นเป็นสีขาวขุ่น ต้อกระจกในระยะนี้ถ้าไม่ได้รับการผ่าตัดเอาต้อกระจกออก อาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อน เช่น ต้อหิน เลนส์แก้วตา อาจหลุดและตาลงในช่องวุ้นตาถ้ารักษาไม่ทันอาจสูญเสียสายตาได้

ผู้ป่วยที่เป็นต้อกระจกควรมาพบแพทย์เป็นระยะทุก 3-6 เดือน ถ้าเลนส์ตาขุ่นมากจนถึงขั้นสมควรผ่าตัด แพทย์จะแนะนำให้เตรียมตัวเพื่อมารับการผ่าตัด

การรักษาต้อกระจกมีกี่วิธี อะไรบ้าง

การรักษาต้อกระจกมีประการเดียวคือการผ่าตัดเลนส์ตาที่ขุ่นออกแล้วใส่เลนส์ใหม่แทน เลนส์ที่ใส่หลังผ่าตัดต้อกระจกมีหลายแบบ เช่น ใส่เลนส์แก้วตาเทียมฝังเข้าไปแทนที่เลนส์เดิม นอกจากนั้นอาจใช้แว่นตาหรือใช้เลนส์สัมผัส วิธีที่นิยมและได้ผลดีที่สุดคือใช้เลนส์แก้วตาเทียมใส่แทนที่เลนส์ต้อกระจกที่ลอกออก เนื่องจากทำให้สามารถมองภาพได้ชัดเจนและคล้ายธรรมชาติมากที่สุด แต่ถ้าจะต้องการอ่านหนังสือหรือมองใกล้ๆ ต้องใช้แว่นตาช่วย

ในปัจจุบัน มีวิวัฒนาการของเครื่องมือเครื่องใช้ ที่ทำให้ผลการผ่าตัดมีประสิทธิภาพสูง ดังนั้นหลังผ่าตัดผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องนอนพักในโรงพยาบาลและสามารถมองเห็นภาพได้ชัดเจนหลังผ่าตัดเพียง 2-3 วันเท่านั้น

วันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ข้อเสื่อมในผู้สูงอายุ

ข้อเสื่อม พบมากในคนที่มีอายุมากเกิน 40 ปีเป็นต้นไป หรือในวัยที่ผู้หญิงหมดประจำเดือน พบโรคนี้ในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย 3 เท่า เป็นโรคที่ไม่ร้ายแรง แต่อาจมีอันตรายจากการกินยาสเตอรอยด์ หรือกินยาแก้ปวดข้อมากเกินไป



สาเหตุของข้อเสื่อมเกิดจาก เป็นไปตามวัย ข้อมีอาการบาดเจ็บหรือรับน้ำหนักมากเกินไป มีหินปูนเกาะที่ข้อ และกระดูกงอขรุขระ เวลาร่างกายเคลื่อนไหวจึงเกิดการปวดในข้อ อาจมีสาเหตุจาก อาชีพที่ต้องใช้ข้อมาก เช่นอาชีพที่ต้องยืนเวลานานต่อเนื่องกัน อ้วนทำให้ใช้ข้อในการรับน้ำหนักมาก หรือ อายุมากที่มากขึ้น

ส่วนของข้อที่พบบ่อยคือ ข้อที่ต้องรับน้ำหนักมาก เช่น ข้อกระดูกสันหลัง ข้อสะโพก ข้อเข่า ข้อกระดูกคอ ข้อกระดูกสันหลัง เป็นต้น

ผู้ป่วยโรคข้อเสื่อมในผู้สูงอายุจะมีอาการปวดในข้อ เช่น ปวดหลัง ปวดต้นคอ หรือปวดเข่า เรื้อรังเป็นเดือนหรือเป็นปี ผู้ป่วยที่ปวดที่ข้อมักจะปวดตอนกลางคืน หรือตอนอากาศเย็น คนที่ปวดที่ข้อเข่า มักจะปวดมากตอนที่เปลี่ยนจากท่านั่งไปเป็นท่ายืน หรือ ตอนนั่งคุกเข่า หรือ ขัดสมาธินานๆ และตอนยกของหนัก หรือเดินขึ้นบันไดหลายๆชั้น ข้อที่ปวดปกติจะไม่บวมแดง แต่ถ้าปวดมากอาจบวมแดงได้และมีน้ำขังอยู่ในข้อ เมื่อจับข้อเข่าโยกไปมา จะมีเสียงดังกรอบแกรบๆ ถ้าเป็นมากอาจทำให้เคลื่อนไหวไม่สะดวก

การรักษาอาการปวดในข้อ

  • ถ้ามีอาการปวด ให้หยุดพักข้อที่ปวดอยู่นั้น เช่น หยุดเดิน หรือยืน ให้ใช้น้ำร้อนประคล และสามารถกินยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการปวดได้ในบางครั้ง
  • พยายามอย่าทำสิ่งที่จะทำให้ปวดข้อมากขึ้น เช่น ห้ามหาบน้ำหรือยกของหนัก ห้ามนั่งคุกเข่า หรือ ยืนนานเกินไป พยายามนั่งเหยียดเข่าให้ตรง เลี่ยงการขึ้นบันไดหลายชั้น ถ้าอ้วนหรือมีน้ำหนักมากให้ลดน้ำหนัก • บริหารกล้ามเนื้อที่เคลื่อนไหวให้แข็งแรงอยู่เสมอ เช่น ถ้าปวดเข่าก็ให้บริหารกล้ามเนื้อต้นขาส่วนหน้าให้แข็งแรงอยู่เสมอ
  • โดยการฝึกกล้ามเนื้อต้องทำตอนที่ไม่มีอาการปวดหรืออาการปวดทุเลาไปแล้ว ช่วงแรกฝึกวันละ 2-3 ครั้ง ประมาณครั้งละ 5-10นาที จนรู้สึกกล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น จึงเพิ่มปริมาณการฝึกเป็นวันละ 3-5 ครั้ง
  • ถ้าอาการปวดยังเป็นอยู่ไม่ทุเลาลงใน 3-4 สัปดาห์ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจอย่างละเอียด 
ภาวะข้อเสื่อมปกติจะไม่หายขาดและปวดเรื้อรัง บางคนเคลื่อนไหวไม่สะดวก จึงควร ฝึกบริหารกล้ามเนื้อรอบๆข้อที่ปวดให้แข็งแรงอยู่เป็นประจำจะช่วยลดการปวดได้ ถ้ากินยาแก้ปวดควรกิน พาราเซตามอล แต่ไม่ควรกินบ่อย และไม่ควรซื้อยาแก้ปวดเส้น หรือยาลูกกลอนมากินเอง เพราะอาจมีผลข้างเคียงที่ร้ายแรงได้ เช่น กระเพาะอาหารทะลุ เลือดออกในกระเพาะอาหาร กระดูกผุ เป็นต้น

วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

โรคเสียการทรงตัวในผู้สูงอายุ

โรคหลายๆอย่างในผู้สูงอายุ หรือโรคที่เป็นมาแต่วัยหนุ่มสาวอาจทำให้มีการเสียการทรงตัวได้มาก หรือเสื่อมเร็วขึ้น ได้แก่

  • โรคเบาหวาน จะทำให้เกิดการเสื่อมของร่างกายโดยทั่วไปรวมทั้งระบบประสาทโดยรวม
  • โรคความดันโลหิตสูง การมีความดันโลหิตสูงนั้นหลอดเลือดแข็งตัวอาจมีอาการทางหัวใจด้วย ทำให้การไหลเวียนกระแสโลหิตไปหูชั้นในส่วนการทรงตัวบกพร่อง รวมทั้งการบกพร่องของกระแสโลหิตไปสู่สมองส่วนกลางที่ประมวลข้อมูลการทรงตัว ทำให้ผู้นั้นเกิดอาการวูบ หน้ามืดหรือเวียนหัวบ้านหมุน ตาลายได้
  • โรคไตวาย มีของเสียคั่งค้างในร่างกาย จะมีผลถึงปลายประสาทในหูชั้นใน เพราะหูชั้นในมีน้ำเลือดเป็นน้ำเหลืองหล่อเลี้ยงประสาททรงตัว ทำให้การได้ยินและการทรงตัวเสื่อมได้
  • โรคหัวใจ จะทำให้การบีบตัวของหัวใจ เพื่อผลักดันเลือดให้เกิดการไหลเวียนกระแสโลหิตไปทั่วร่างกายไปหล่อเลี้ยงอวัยวะต่างๆบกพร่องอวัยวะปลายทาง ได้แก่หูชั้นในและสมองก็จะเสื่อมเร็วลงด้วย 
  • โรคไขข้อเสื่อมหรือข้อเสื่อม ข้อต่อต่างๆของร่างกายเป็นกลไกสำคัญในการเคลื่อนไหว ข้อต่อเหล่านั้น มีน้ำหล่อลื่นและมีกล้ามเนื้อและเอ็นช่วยยืด ช่วยหด เพื่อการใช้งาน ถ้าไขข้อเสื่อม กระดูกข้อเสื่อม กล้ามเนื้อและเอ็นเสื่อม การทำงานก็จะบกพร่องและการเคลื่อนไหวทรงตัว จะเป็นไปได้อย่างลำบาก
  • โรคกระดูกเสื่อมหรือกระดูกงอก ที่สำคัญคือกระดูกข้อต่อส่วนคอ เนื่องจากหลอดเลือดจากหัวใจไปสู่สมอง โดยทอดไปตามรูเปิดของกระดูกคอ ดังนั้นถ้ากระดูกเสื่อม กระดูกงอก อาจกดทับหลอดเลือดทำให้เลือดไหลไปหูชั้นในและสมองไม่สะดวก และอาจเกิดอาการวูบ หน้ามืด ตาลาย เวลาหันหรือแหงนคอ หรือเงยศีรษะ
  • โรคของต่อมไร้ท่อ เช่นโรคธัยรอยด์ มีฮอร์โมนธัยรอยด์ต่ำหรือสูงเกินไป จะมีผลต่อหูชั้นในได้ • โรคของหู เช่นหูน้ำหนวก โรคหูชั้นในที่ชาวบ้านเรียกน้ำในหูไม่เท่ากัน

ทำอย่างไรจึงจะรู้ว่าผู้สูงอายุเสียการทรงตัวเพราะเหตุใด


การระบุว่าผู้เสียอายุเสียการทรงตัวเพราะเหตุใดนั้น จำเป็นต้องตรวจค้นหาสาเหตุ แพทย์ต้องตรวจหลายๆอย่างประกอบกัน ได้แก่

  1. ประวัติ การเจ็บป่วยที่ผ่านมาและกำลังเป็นอยู่
  2. ตรวจวัดความดันโลหิต และอาจต้องตรวจหัวใจด้วย
  3. ตรวจการทรงตัว อาจทำให้หลายวิธีตั้งแต่ การยืน การเดิน การตรวจโดยใช้เครื่องมือพิเศษตรวจ แยกการเสื่อมทางการเห็น การเสื่อมของข้อต่อ การเสื่อมของหูชั้นในและสมอง เพื่อรู้สาเหตุสำคัญเพราะผู้สูงอายุมักจะเสียการทรงตัวจากหลายๆสาเหตุประกอบกัน
  4. ตรวจเคมีเลือด เพื่อหาความผิดปกติ ได้แก่ น้ำตาลสูง ไขมันสูง ซึ่งอาจเป็นต้นเหตุสำคัญของการบกพร่องของการไหลของกระแสโลหิต
  5. การตรวจหูและการได้ยิน มีความสำคัญเพื่อแยกสาเหตุจากโรคหู เพื่อการรักษาที่แตกต่างออกไป
  6. การตรวจคลื่นสมอง วัดการทำงานของศูนย์ได้ยิน ศูนย์ทรงตัวในสมอง จะสามารถแยกโรคของหูชั้นใน โรคเนื้องอกของประสาททรงตัวและโรคศูนย์ในก้านสมองเสื่อมได้
  7. ตรวจการไหลของโลหิตไปสมอง โดยใช้ระบบอัลตราซาวนด์เปรียบเทียบความเร็วและความดันของกระแสโลหิตไปสมองทั้งซีกซ้ายและขวา

วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ข้อเท้าเคล็ด ข้อเท้าแพลง และเส้นเอ็นอักเสบ

ข้อเท้าเคล็ดและข้อเท้าแพลง ส่วนใหญ่เกิดจาก การเดินสะดุด หรือ หกล้ม เดินพลาด ข้อเท้าพลิก หรือบิดงอเพราะสะดุดสิ่งของ ทำให้ กล้ามเนื้อหรือเส้นเอ็นที่ยึดอยู่รอบๆข้อเท้ามีการฉีกขาด เนื่องจาก การถูกกระแทก บิด หรือหกล้ม รวมทั้งการยกของหนักเกินไป



คนที่ข้อเท้าเคล็ดจะมีอาการที่ข้อเท้าจะปวดมาก โดยจะเจ็บมากขึ้นถ้าเคลื่อนไหวข้อเท้า หรือถ้าใช้นิ้วกดบริเวณข้อเท้าจะปวดมาก ควรไปพบแพทย์ทันทีที่เกิดอาการข้อเท้าเคล็ดหรือแพลง เพราะอาจต้องเอ็กซเรย์ข้อเท้า หรือจำเป็นต้องเจาะเอาหนองตรงข้อเท้าออกไปย้อมและเพาะหาเชื้อและให้ยาปฏิชีวนะ เพื่อฆ่าเชื้อตามเชื้อที่ตรวจพบ และอาจจำเป็นต้องเจาะหนองออกบ่อยๆด้วย

แพทย์อาจเข้าเฝีอกเพื่อไม่ให้ข้อเท้าเคลื่อนไหว ผู้ป่วยจำเป็นต้องนอนพักโดย ยกข้อเท้าให้สูงไว้ และเมื่ออาการอักเสบเริ่มดีขึ้น ผู้ป่วยจำเป็นต้องบริหารข้อเท้าเพื่อป้องกันข้อเท้าแข็ง เมื่อกินยาปฏิชีวนะได้ถูกต้อง ผู้ป่วยจะหายและดีขึ้น ใน 7-10 วัน แต่ถ้ารักษาไม่ถูกวิธีอาจพิการได้

การปฐมพยาบาลและรักษา

หลังได้รับบาดเจ็บจากข้อเท้าแพลง ให้ประคบด้วยน้ำเย็นหรือน้ำแข็งในทันที อาจแช่เท้าที่แพลงในน้ำเย็น เพื่อลดอาการปวดบวม ทำทุก 3-4 ชั่วโมง ในช่วง 2 วันแรก แต่หลังจาก 2 วันไปแล้ว ให้แช่น้ำอุ่นจัดๆ ครั้งละ 15-30 นาที วันละ 2-3ครั้ง และใช้ยาหม่องนวด เพื่อลดอาการอักเสบ

  • ให้ใช้ผ้าพันแผลชนิดยืดพันพอประมาณไม่แน่นจนเกินไป แล้วยกข้อเท้าที่แพลงให้สูง เวลานอนให้ใช้หมอนรองเท้าให้สูง 
  • ผู้ป่วยควรพักจนกว่าอาการปวดจะดีขึ้น ซึ่งอาจใช้เวลาหลายวัน แล้วค่อยๆเคลื่อนไหวข้อเท้าให้คืนสู่สภาวะปกติ 
  • ถ้าปวดข้อเท้ามากให้กินยาแก้ปวด ถ้าอาการยังไม่ดีขึ้นใน 1 สัปดาห์ ให้ไปพบแพทย์ ซึ่งอาจต้องเอ็กซเรย์ว่ากระดูกหักหรือไม่
เส้นเอ็นอักเสบ 

ปกติจะพบว่า การอักเสบของเส็นเอ็นมีสาเหตุจากการทำงานหนักหรือได้รับบาดเจ็บ โดยจะมีอาการปวดที่เส้นเอ็นที่เกิดการอักเสบ โดยเฉพาะเมื่อเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่เส้นเอ็นดึงรั้งและถูกยึด และอาการนี้จะเป็นอยู่นานหลายสัปดาห์ บางทีนานเป็นเดือน

การรักษาและปฐมพยาบาล

  1. หยุดพักการใช้ส่วนที่อักเสบ ให้ใช้น้ำอุ่นจัดๆประคบ ทานวดด้วยยาหม่อง แล้วใช้ผ้าพันแผลแบบยืดพันพอประมาณ เมื่ออาการปวดดีขึ้น ให้ค่อยๆบริหารส่วนที่อักเสบนั้นให้กลับเป็นปกติ
  2. ถ้าอาการไม่ดีขึ้นใน 2 สัปดาห์ แนะนำให้ไปพบแพทย์ ซึ่งอาจจำเป็นต้องเอ็กซเรย์ อาจมีการตรวจพบแคลเซียมหรือหินปูนมาเกาะที่เส้นเอ็น

วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

สารอาหารแก้ความเครียด

เรื่องเครียดนั้นเป็นเรื่องใหญ่ เราต้องแก้ที่ต้นเหตุ คือ ค้นหาสิ่งที่ทำให้เครียดให้พบและตัดมันทิ้งไปจึงจะเป็นการแก้ที่ถูกต้องและได้ผล ความเครียดจะเพิ่มภาระหนักให้แก่ร่างกายทุกส่วนทำให้มีความต้องการอาหารเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไวตามินซี และ กรดแพนโทเธนิค

ร่างกายมีปฏิกิริยาตอบโต้ความเครียดทุกชนิดแบบเดียวกัน คือ ต่อมหมวกไต จะผลิตฮอร์โมน ออกมาหลายอย่าง เช่น คอร์ติโซน เป็นต้น ซึ่งจะช่วยนำอาหารไปใช้ให้เพียงพอกับความเครียดที่เกิดขึ้น



ความเครียดเป็นอันตรายต่อร่างกายเกือบทุกระบบ แม้แต่ผู้หญิงมีครรภ์ที่มีอาการบวมถ้ายิ่งเครียดมากก็ยิ่งบวมมาก ถ้าได้สารอาหารเพียงพอ ความเครียดก็ทำลายร่างกายทุกส่วนได้น้อย แต่ถ้าอาหารไม่เพียงพอ ก็จะได้รับไวตามินไม่เพียงพอไปด้วย เมื่อขาดไวตามินที่จำเป็น เช่น ขาดไวตามิน เอม ไวตามิน บีหนึ่ง, บีสอง, บีหก, ไวตามินซี, ไวตามินอี, โคลีนและกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัว ต่อมหมวกไตก็จะผลิตคอร์ติโซนไม่พอ ก็ยิ่งนำอาหารไปเลี้ยงร่างกายได้น้อยยิ่งขึ้นก็ยิ่งเครียดหนักไปอีก

ฉะนั้นคนที่มีความเครียดมาก จึงควรกินสารอาหารให้ครบถ้วน นั่นก็คือ โปรทีน ไขมัน น้ำ แร่ธาตุ (เกลือแร่) และไวตามินต่างๆ โดยเฉพาะสารอาหารสองตัวหลัง ที่คนไทยเราในปัจจุบันขาดมากที่สุดคงจะเป็นเพราะเราไม่ได้พิถีพิถันหรือสนใจคุณค่าของไวตามินนั่นเอง

โภชนาการที่ดีหรือสารอาหารที่ครบถ้วนก็คงจะช่วยลดความเครียดและการปวดศีรษะในบางรายได้ โดยส่วนใหญ่สิ่งที่คนไทยขาดก็คงมีแต่ไวตามินและแร่ธาตุต่างๆเท่านั้น ถึงแม้ว่าในอาหารที่กินเข้าไปจะมีไวตามินอยู่บ้าง แต่ก็เป็นจำนวนน้อยและถูกทำลายไปกับวิธีปรุงอาหารเสียมาก ที่เหลืออยู่ก็คงจะไม่เพียงพอที่จะสู้กับสารพิษต่างๆที่เราได้รับเข้าไปทั้งทางปากและทางจมูก

มีรายงานทางวิชาการมากมากยกล่าวว่า อาการปวดศีรษะจะหายเมื่อได้ไวตามินและแร่ธาตุต่างๆ และที่ใช้กันมากที่สุดคือ ไวตามินบีหก, แคลเซี่ยม, ไวตามินซี, กรดแพนโทเธนิค, ไวตามีนอี, อาหารพวกเส้นใยต่างๆและโปรทีน แต่ที่จำเป็นที่สุดและขาดไม่ได้คือ การออกกำลังกายสม่ำเสมอทุกวัน

วันจันทร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2555

เป็นหวัดคัดจมูกมีน้ำมูก – วิธีป้องกันและการรักษา

ไข้หวัดเป็นโรคที่คนปกติเป็นบ่อยมากพบได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ โดยเฉพาะเด็กเล็กจะเป็นบ่อยกว่าผู้ใหญ่ เกิดจากเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุทำให้เป็นหวัด ซึ่งมีไม่ต่ำกว่า 200 ชนิด จะสลับผลัดกันมาทำให้เกิดไข้หวัดและอาการอักเสบของระบบทางเดินหายใจ เมื่อคนเรามีอายุมากขึ้น ร่างกายของเราก็จะสร้างภูมิคุ้มกันหวัดชนิดต่างๆมากขึ้น การป่วยเป็นหวัดก็จะน้อยลงตามลำดับ



โรคไข้หวัดติดต่อกันง่าย เป็นโรคที่พบได้ตลอดทั้งปี แต่มักจะเป็นช่วง หน้าหนาว และหน้าฝน เชื้อหวัดมีอยู่ใน น้ำลาย น้ำมูก ของผู้เป็นหวัด และจะติดต่อกันทาง ไอหรือจาม การหายใจรดกัน หรืออาจติดกันทางใช้สิ่งของ เช่น ดื่มน้ำแก้วเดียวกันกับผู้เป็นหวัด

คนเป็นไข้หวัด จะมีอาการ มีไข้ ครั่นเนื้อครั่นตัว คัดจมูก มีน้ำมูก เจ็บคอ ไอ มีเสมหะ คอแห้ง เวลาไอบางครั้งเจ็บที่ลิ้นปี่ ในเด็กมีโอกาสที่จะมีไข้สูงและอาจถึงกับชักได้ ในทารกอาจท้องเดินหรืออาเจียนด้วย ถ้าเป็นนานเกิน 4-5 วัน น้ำมูกและเสลดอาจกลายเป็นสีเขียวหรือสีเหลือง ซึ่งเกิดจากการอักเสบของเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งจำเป็นต้องกินยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อ การอักเสบอาจลุกลาม จนกลายเป็น ทอนซิลอักเสบ, หูชั้นกลางอักเสบ, ไซนัสอักเสบ, ปอดอักเสบ, รวมทั้งหลอดลมอักเสบ อาจมีอาการชักจากการมีไข้ขึ้นสูงในเด็ก

การรักษาผู้ป่วยที่เป็นหวัด 

เนื่องจากเชื้อหวัดเป็นเชื้อไวรัส จึงไม่มีตัวยาที่ใช้รักษาโดยเฉพาะ แต่จะใช้ยารักษาตามลักษณะอาการที่เกิด โดยควรทำตัวดังนี้สำหรับผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัด

  1. รักษาร่างกายให้อบอุ่น สวมเสื้อผ้าหนาๆเมื่อมีอากาศเย็น พยายามอย่าถูกฝน และไม่อาบน้ำเย็นเมื่ออากาศหนาวจัด
  2. พักผ่อนให้เพียงพอ อย่าตรากตรำทำงานมากเกินไป
  3. ควรกินอาหารอ่อนๆ ไม่ควรกินอาหารรสจัดเกินไป เช่น เปรี้ยวจัด เผ็ดจัด หรืออาหารมัน ควรดื่มน้ำผลไม้ หรือเครื่องดื่มร้อนๆ
  4. ควรดื่มน้ำมากๆ เพื่อทดแทนน้ำที่เสียไปเพราะมีไข้ขึ้นสูง
  5. ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดตัวเวลามีไข้ อย่าใช้น้ำเย็นเช็ด 

ยาที่ใช้รักษาตามอาการ

สำหรับผู้ใหญ่ 

1. ถ้ามีน้ำมูกไหลมาก ให้กินยาแก้แพ้ ใน 2-3วัน พออาการดีขึ้นให้หยุดยา ถ้ามีน้ำมูกไม่มากไม่จำเป็นต้องกินยา

2. ถ้ามีไข้ให้กินยาลดไข้ เช่น พาราเซตามอล

3. ถ้าไอมาก ให้ดื่มน้ำอุ่นมากๆ หรือจิบน้ำผึ้งผสมมะนาว

สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 5ปี 

ถ้ามีน้ำมูกมาก ให้ใช้กระดาษทิชชูพันเป็นแท่ง สอดเข้าไปเช็ดน้ำมูก ถ้าไอก็ให้ดื่มน้ำอุ่นมากๆหรือจิบน้ำผึ้งผสมมะนาว และถ้ามีไข้ ก็ให้กินยาลดไข้ เช่น พาราเซตามอล แต่ปริมาณยาจะน้อยกว่าของผู้ใหญ่

ไม่จำเป็นต้องกินยาปฏิชีวนะ ยกเว้น สงสัยว่ามีเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน เช่นมีน้ำมูกสีเขียวหรือเหลือง ปวดหูและมีไข้เกิน 4วั

วันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2555

สูตรหน้าใสด้วยน้ำผึ้ง

ถ้าสาวๆคนใดสนใจที่จะดูแลสุขภาพและผิวพรรณรวมทั้งต้องการให้หน้าใสดูชุ่มชื้น เนียนใส ควรหาซื้อน้ำผิ้งแท้มาไว้ติดบ้านสัก 1 ขวด น้ำผึ้งมีคุณค่าต่อร่างกายอย่างมากมาย หากคุณจะรับประทานเพียงวันละ 1-2 ช้อนโต๊ะ หรือนำมาทำตามสูตรถนอมและบำรุงใบหน้า น้ำผึ้งจะช่วยลบริ้วรอยต่างๆ บนใบหน้าอย่างน่าอัศจรรย์ รอยย่นยับต่างๆจะดูเรียบเนียนขึ้น และผิวหน้าของคุณจะเต่งตึงสดใส ดูชุ่มชื้น ขาวผ่อง ใบหน้าใสขึ้น ควรถนอมผิวด้วยน้ำผึ้งทุกๆ 3-4วัน

ส่วนประกอบ 

  • น้ำผึ้งแท้ 2 ช้อนโต๊ะ 
  • อุปกรณ์ประกอบ 
  • หมวกคลุมผม และ โถเคลือบหรือภาชนะใดก็ได้ที่ทนไฟ


ขั้นตอนการบำรุงหน้าโดยใช้สูตรหน้าใสด้วยน้ำผึ้ง


  1. ล้างหน้าของคุณให้สะอาดสะอ้านโดยอาบด้วยน้ำอุ่น และใช้น้ำอุ่นล้างหน้า ชำระคราบไคลฝุ่นละอองบนใบหน้าของคุณให้สะอาดด้วยสบู่ หรือโฟมล้างหน้า 
  2. เมื่อทำความสะอาดใบหน้าจนรู้สึกสะอาดดีแล้ว ใช้ผ้าขนหนูซับหน้าให้แห้ง ใช้ที่คาดผม คาดผมไว้ให้เรียบร้อยเพื่อที่เส้นผมจะได้ไม่ตกลงมาปรกหน้า หรือจะใช้หมวกพลาสติกสำหรับอาบน้ำ คลุมเส้นผมไว้ให้เรียบร้อยเพื่อความสะดวก 
  3. นำน้ำผึ้งใส่ในโถเคลือบใบเล็กๆ หรือภาชนะใดก็ได้ที่สามารถทนไฟได้แล้วนำน้ำผึ้งไปอุ่นบนเตา ไม่ต้องให้ร้อนมาก เพียงแค่อุ่นๆ ก็ใช้ได้แล้ว 
  4. เช็ดมือของคุณให้สะอาดใช้ปลายนิ้วชี้ และนิ้วกลางแตะน้ำผึ้งทาบนใบหน้า โดยเริ่มที่หน้าผากเป็นจุดแรก ขณะทาให้ทั่วหน้าผาก ปลายนิ้ว ควรคลึงเคล้นเบาๆ ไปบนผิวหน้าผากด้วย 
  5. จากนั้นเริ่มที่ช่วงแก้มข้างซ้ายมาที่แก้มข้างขวา จุดต่อไปคือสันจมูกดเหนือริมฝีปากและมาที่บริเวณคางในที่สุด 
  6. ขณะที่ทาน้ำผึ้งไปทั่วๆใบหน้าของคุณนั้นอย่าลืมว่าปลายนิ้วชี้และนิ้วกลางควรจะคลึงเคล้นเบาๆ นวดใบหน้าของคุณไปด้วย เมื่อทาน้ำผึ้งจนหมดแล้วนอนหลับตาสบายๆ นานประมาณ 40-50 นาที จึงค่อยล้างทำความสะอาดชำระล้างน้ำผึ้งออกจากใบหน้าด้วยน้ำอุ่น โฟมล้างหน้า หรือสบู่ให้สะอาดสะอ้าน

วันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2555

อาหารที่บำรุงเส้นผมสำหรับคนผมร่วงและผมบาง

อาหารที่บำรุงเส้นผมสำหรับคนผมร่วงและผมบาง: สาเหตุของผมร่วงมีด้วยกันหลายประการคือ

  1. ผมร่วงเพราะปฏิกิริยาตอบโต้ยารักษาโรค หรือการที่มีโรคภายในตัวซึ่งการทำให้การทำงานของต่อมต่างๆ ในร่างกายเสื่อมลง
  2. หนังศีรษะติดเชื้อ เช่น เชื้อบักเตรี และเชื้อรา
  3. กรรมพันธุ์
  4. ผมและผิวหนังสัมผัสน้ำยาดัดผม ยากัดสีผม ยายัอมผม การอบผม การเซ็ตผม การยีผม 
อาหารบำรุงเส้นผม

ไวตามินและแร่ธาตุต่างๆจะช่วยให้เส้นผมทวีจำนวนมากขึ้น และมีเส้นผมที่สมบูรณ์ แต่การกินอาหารดัวกล่าวนั้นต้องสม่ำเสมอนับเป็นเวลานานปี

ไวตามินที่ช่วยขจัดขี้รังแค คือ ไวตามินบีทุกชนิด ไวตามินบี 6, บี 12, พาบา, ไบโอติน, และอินนอสซิทอล ยังสามารถรักษาโรคผิวหนังชนิดเอ็กซิม่า (eczema) อีกด้วย ขี้รังแคกับโรคผิวหนังชนิดนี้มีความสัมพันธ์กันอยู่อย่างใกล้ชิด

อาหารที่มีไวตามินบีมาก ได้แก่ บริวเวอร์สยิสต์, บริวเวอร์สยีสต์ คือ เชื้อเบียร์ มีทั้งชนิดผง และชนิดเม็ด ในบริวเวอร์สยีสต์มีไวตามินถึง 17 ชนิด กรด อะมิโน (สารที่ประกอบขึ้นเป็นโปรทีน) 16 ชนิด และแร่ธาตุสำคัญอีก 15 อย่าง รวมทั้งมีสังกะสี ซึ่งเป็นธาตุที่มีประโยชน์อย่างสูงต่อผิวหนังรวมทั้งเส้นผมด้วย

อาหารที่รักษาสีของเส้นผม

กรดแพนโทเธนิค ช่วยป้องกันผมหงอกเมื่อผสมไวตามินบีอื่นๆ อาหารที่มีกรดแพนโทเธนิคมากคือ แบล็คทรีเคิล ถั่วลิสง บริวเวอร์สยีสต์ นมผง ไต ตับ ไช่แดง วีทเยอร์ม ข้าวสาลีไม่ขัดขาว

กรดโฟลิค ช่วยให้ผมไม่เปลี่ยนสี รักษาโรคโลหิตจาง อาหารที่มีกรดโฟลิค ได้แก่ ยีสต์ ตับ

กรดพาราอะมิโนเบ็นโซอิค ป้องกันผมหงอก อาหารที่มีกรดนี้คือ ตับ รำข้าว บริวเวอร์สยีสต์ แบล็คทรีเคิล

การบำรุงรักษาผม ต้องรักษาความสะอาดไม่ให้มีขี้รังแคและสกปรก ใช้แปรงๆ ผมแรงๆ เพื่อปัดฝุ่นละอองสิ่งสกปรกต่างๆ ออกจากหนังศรีษะเป็นการกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตใช้แชมพูชนิดอ่อนไม่มีด่างสระผม ถ้ารู้สึกว่าผมบางศีรษะล้าน อย่าใส่วิก หรือผมปลอมจะทำให้ผมร่วง

ผมที่สวยงามนั้นต้องเป็นเงางาม ไม่แห้งกรอบ การกินอาหารที่มีประโยชน์เท่านั้นจึงจะช่วยได้

คนที่ต้องการบำรุงรักษาเส้นผมควรกินอาหารประจำวันทีมีประโยชน์ต่อความเติบโตของเส้นผม ควรเลือกกินอย่างใดอย่างหนึ่ง และกินโดยสม่ำเสมอ

บริวเวอร์สยีสต์ เราอาจเติมบริวเวอร์สยีสต์ผงลงในนม น้ำมะเขือเทศ น้ำส้มคั้น น้ำสับปะรด หรือน้ำผลไม้อื่นใดก็ได้ ประมาณครึ่งลิตรต่อยีสต์ 4 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากันดีแล้วเก็บไว้ในตู้เย็นรับประทานได้หลายครั้ง
แบล็คทรีเคิล 2 ช้อนโต๊ะผสมนม หรือน้ำผลไม้ครึ่งแก้ว
โยเกิร์ท 2 ช้อนโต๊ะ ผสมนม 1 แก้ว อาหารเหล่านี้มีไวตามินทั้ง 3 ชนิด คือ กรดแพนโทเธนิค, กรดโฟลิค และกรดพารา อะมิโนเป็นโซอิค จะช่วยให้ผมหงอกให้กลับดำ และช่วยให้ศีรษะที่ล้านกลับมามีผมงอกขึ้นใหม่

ส่วนเครื่องดื่มที่หาง่าย และมีคุณค่าต่อสุขภาพของเส้นผมคือ น้ำสับปะรด 1 แก้ว ผสมไข่แดง 1 ฟอง ตีให้เข้ากันจะช่วยให้เส้นผมงามเป็นมัน

หวังว่าคำแนะนำนี้คงจะเป็นประโยชน์แก่ผู้สนใจ ได้มีเส้นผมที่มีสุขภาพดีและดกดำเป็นเงางามเพิ่มบุคลิกและความงามให้แก่ท่าน