โรคไข้หวัดติดต่อกันง่าย เป็นโรคที่พบได้ตลอดทั้งปี แต่มักจะเป็นช่วง หน้าหนาว และหน้าฝน เชื้อหวัดมีอยู่ใน น้ำลาย น้ำมูก ของผู้เป็นหวัด และจะติดต่อกันทาง ไอหรือจาม การหายใจรดกัน หรืออาจติดกันทางใช้สิ่งของ เช่น ดื่มน้ำแก้วเดียวกันกับผู้เป็นหวัด
คนเป็นไข้หวัด จะมีอาการ มีไข้ ครั่นเนื้อครั่นตัว คัดจมูก มีน้ำมูก เจ็บคอ ไอ มีเสมหะ คอแห้ง เวลาไอบางครั้งเจ็บที่ลิ้นปี่ ในเด็กมีโอกาสที่จะมีไข้สูงและอาจถึงกับชักได้ ในทารกอาจท้องเดินหรืออาเจียนด้วย ถ้าเป็นนานเกิน 4-5 วัน น้ำมูกและเสลดอาจกลายเป็นสีเขียวหรือสีเหลือง ซึ่งเกิดจากการอักเสบของเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งจำเป็นต้องกินยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อ การอักเสบอาจลุกลาม จนกลายเป็น ทอนซิลอักเสบ, หูชั้นกลางอักเสบ, ไซนัสอักเสบ, ปอดอักเสบ, รวมทั้งหลอดลมอักเสบ อาจมีอาการชักจากการมีไข้ขึ้นสูงในเด็ก
การรักษาผู้ป่วยที่เป็นหวัด
เนื่องจากเชื้อหวัดเป็นเชื้อไวรัส จึงไม่มีตัวยาที่ใช้รักษาโดยเฉพาะ แต่จะใช้ยารักษาตามลักษณะอาการที่เกิด โดยควรทำตัวดังนี้สำหรับผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัด
- รักษาร่างกายให้อบอุ่น สวมเสื้อผ้าหนาๆเมื่อมีอากาศเย็น พยายามอย่าถูกฝน และไม่อาบน้ำเย็นเมื่ออากาศหนาวจัด
- พักผ่อนให้เพียงพอ อย่าตรากตรำทำงานมากเกินไป
- ควรกินอาหารอ่อนๆ ไม่ควรกินอาหารรสจัดเกินไป เช่น เปรี้ยวจัด เผ็ดจัด หรืออาหารมัน ควรดื่มน้ำผลไม้ หรือเครื่องดื่มร้อนๆ
- ควรดื่มน้ำมากๆ เพื่อทดแทนน้ำที่เสียไปเพราะมีไข้ขึ้นสูง
- ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดตัวเวลามีไข้ อย่าใช้น้ำเย็นเช็ด
ยาที่ใช้รักษาตามอาการ
สำหรับผู้ใหญ่
1. ถ้ามีน้ำมูกไหลมาก ให้กินยาแก้แพ้ ใน 2-3วัน พออาการดีขึ้นให้หยุดยา ถ้ามีน้ำมูกไม่มากไม่จำเป็นต้องกินยา
2. ถ้ามีไข้ให้กินยาลดไข้ เช่น พาราเซตามอล
3. ถ้าไอมาก ให้ดื่มน้ำอุ่นมากๆ หรือจิบน้ำผึ้งผสมมะนาว
สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 5ปี
ถ้ามีน้ำมูกมาก ให้ใช้กระดาษทิชชูพันเป็นแท่ง สอดเข้าไปเช็ดน้ำมูก ถ้าไอก็ให้ดื่มน้ำอุ่นมากๆหรือจิบน้ำผึ้งผสมมะนาว และถ้ามีไข้ ก็ให้กินยาลดไข้ เช่น พาราเซตามอล แต่ปริมาณยาจะน้อยกว่าของผู้ใหญ่
ไม่จำเป็นต้องกินยาปฏิชีวนะ ยกเว้น สงสัยว่ามีเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน เช่นมีน้ำมูกสีเขียวหรือเหลือง ปวดหูและมีไข้เกิน 4วั