วันศุกร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2555

ปวดหัวไมเกรน - โรคปวดหัวข้างเดียว

โรคปวดหัวข้างเดียว หรือ โรคปวดหัวไมเกรน จะพบได้ในคนประชากรทั่วไป ประมาณ 5-10% และพบได้ในทุกเพศทุกวัย แต่จะพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย และช่วงอายุที่พบบ่อยคือ ช่วง 10-30 ปี โรคปวดหัวไมเกรนนี้มักเรื้อรัง เป็นๆ หายๆ มักจะเริ่มเป็นช่วงเข้าวัยรุ่น โดยเฉพาะผู้หญิงที่เริ่มมีประจำเดือน โรคนี้ปกติจะหายไปเองเมื่ออายุ 50 ปีขึ้นไป



ไมเกรนไม่จัดว่าเป็นโรคร้ายแรง แต่สร้างความทุกข์ทรมานและความน่ารำคาญ ทำให้ไม่มีจิตใจที่จะทำงาน โรคไมเกรนเป็นได้กับคนทุกระดับ ทั้ง มีฐานะ และ สติปัญญา คนที่เป็นโรคนี้ มักมีนิสัย จู้จี้ขี้บ่น เจ้าระเบียบ ประมาณ 75% ของคนเป็นโรคไมเกรน มักมีญาติพี่น้องเป็นโรคนี้ด้วย

สาเหตุของการเกิดโรคนี้ยังไม่เป็นแน่ชัด แต่จากการวิจัยพบว่า มีความสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีชื่อ ซีโรโทนิน เป็นสารที่อยู่ในสมอง เมื่อโรคไมเกรนกำเริบ ซีโรโทนินจะลดลง ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการอักเสบของเส้นใยสมองเส้นที่5 ร่วมกับการการหดตัวและขยายตัวของหลอดเลือดแดง ทำให้เลือดไปเลี้ยงเปลือกสมองน้อยลง ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะขึ้นมา

สาเหตุของการกระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะไมเกรน แต่ละคนมีสาเหตุต่างกัน เช่น

  • การใช้สายตาเพ่งภาพอะไรนานๆ เช่น หนังสือ ดูภาพยนตร์ เย็บปักถักร้อย เป็นต้น
  • การสูดได้กลิ่นฉุน เช่น ควันบุหรี่ กลิ่นสารเคมี กลิ่นน้ำมันรถ เป็นต้น
  • การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เหล้า เบียร์
  • การนอนหลับไม่พอ หรือ การนอนตื่นสาย
  • การดื่มกาแฟมากเกินไป
  • การมีแสงสว่างจ้าเข้าตา เช่น แสงไฟกระพริบ กลางแดดจ้า
  • การนั่งรถ เครื่องบิน • การออกกำลังกายมากเกินไป
  • การถูกกระแทกอย่างแรงที่ศีรษะ เช่น ใช้หัวโหม่งลูกบอล
  • ความเครียด ความกังวล 

อาการ

มีอาการปวดศีรษะข้างใดข้างหนึ่ง ปวดตุบๆ บางครั้งอาจปวดสลับข้าง หรือปวดทีละสองข้าง ปวดตามจังหวะการเต้นของหัวใจ การปวดบางครั้งเป็นหลายชั่วโมงหรือเป็นวัน แต่ปกติไม่เกิน 3 วัน

บางคนอาจมีอาการตาพร่า ตาลาย ก่อนเกิดไมเกรน บางครั้ง เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน หน้าชา มือชา อ่อนเพลีย ริมฝีปากชา อาการปวดศีรษะนี้แม้ว่า ไม่กินยาก็มักจะหายเอง

การปฐมพยาบาลและรักษา

เมื่อเริ่มปวดศีรษะไมเกรน ให้นอนในที่เงียบๆ แสงสว่างน้อยๆ และกินยาแก้ปวด 1-2 เม็ด และควรกินทันทีที่ปวดหัว ถ้าปล่อยให้ปวดหัวเกิน 30 นาที อาจไม่ได้ผล ถ้าอาเจียน ให้กินยากแก้อาเจียนด้วย ถ้าปวดหัวอย่างรุนแรง ให้ไปพบแพทย์

ให้ผู้ป่วยสังเกตตัวเองว่า มีสาเหตุอะไรที่ทำให้ปวดหัวไมเกรนบ้าง เพื่อหลีกเลี่ยงจากสิ่งกระตุ้นนั้นๆ และถ้าปวดหัวไมเกรนบ่อย ควรมียาแก้ปวดหัว พกไว้ประจำตัวเสมอ และเมื่อมีอาการ ให้กินยาทันที และควรออกกำลังกายแต่พอเหมาะ

วันพฤหัสบดีที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2555

เป็นสิวทำไงดี – ต้นเหตุของการเกิดสิวและวิธีรักษา

สิวพบได้บ่อยในวัยรุ่น โดยเฉพาะช่วงเข้าสู่วัยหนุ่มสาว อายุ 17-19 ปี แล้วสิวจะค่อยๆหายไปในช่วง 25 ปีขึ้นไป เพศชายและเพศหญิงมีโอกาสเป็นสิวเท่ากัน

สาเหตุของการเกิดสิว ช่วงวัยรุ่น ร่างกายจะสร้างฮอร์โมนเพศ เช่นในเพศชายสร้างฮอร์โมนที่ชื่อว่า เทสโตสเตอโรน ฮอร์โมนชนิดนี้จะกระตุ้นให้สร้างต่อมไขมัน ที่บริเวณผิวหนังซึ่งจะสร้างไขมันออกมาเป็นจำนวนมากและจะระบายออกที่รูขุมขน และถ้าเกิดรูขุมขนเกิดการอุดตันจะทำให้เกิดการคั่งของไขมันที่รูขุมขน เกิดเป็นหัวสิว จะเกิด เป็นสิวเสี้ยน และ เมื่อเกิดการอุดตันมากขึ้น ไขมันจะสะสมในท่อจนพองและแตกออก ทำให้เกิดการอักเสบของสิว



การอักเสบยังอาจเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย พีแอกเนส์ ที่อยู่ในต่อมไขมัน ซึ่งจะย่อยไขมันเป็นกรดไขมันอิสระ ซึ่งทำให้เกิดการอักเสบ และสิวที่อักเสบนี้จะเป็น สิวหัวแดง และถ้าเกิดการอักเสบรุนแรงขึ้นไปอีก จะเป็น หัวสิวที่ปูดโปน ที่เรียกว่า สิวหัวช้าง กรรมพันธุ์ก็อาจมีความสัมพันธ์กับการเกิดสิว จากการวิจัยพบว่า ถ้าพ่อแม่เป็นสิว ลูกก็มีโอกาสอย่างมากที่จะเป็นสิว

ความวิตกกังวล การพักผ่อนไม่เพียงพอ การใช้ยา เช่นยาคุมกำเนิดบางชนิด การระคายผิว เช่นการใช้ผ้าถูหน้าแรงๆ หรือการขัดหน้า การใช้เครื่องสำอาง น้ำมันใส่ผม หรือการทำงานในที่ร้อนชื้น เหล่านี้ อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวด้วย

ในช่วงแรกที่เริ่มเป็นสิว จะพบสิวหัวขาวหรือหัวดำในขนาดเท่าหัวเข็มหมุดที่แก้มหรือหน้าผาก บางคนอาจมีสิวขึ้นที่หลังหรือหน้าอกด้วย ต่อมามีการอักเสบ จะกลายเป็นสิวหัวแดง และตุ่มหนอง เมื่อหัวสิวยุบแล้ว อาจมีรอยสีน้ำตาลดำอยู่หลายอาทิตย์หรือเป็นเดือนก่อนจะจางหายไป ถ้าอักเสบมากจนกลายเป็นสิวหัวช้าง เมื่อหายแล้วอาจเป็นหลุมหรือกลายเป็นแผลเป็น

การรักษาสำหรับผู้เป็นสิว

  1. ล้างหน้าด้วยสบู่อ่อนหรือสบู่เด็กกับน้ำสะอาด วันละไม่เกิน 2 ครั้ง อย่าถูแรงๆหรือล้างหน้านานเกินไป และไม่ควรใช้สบู่มากเกินไปด้วย
  2. ประคบใบหน้าส่วนที่เป็นสิวด้วยน้ำอุ่นจัดๆ วันละ 1-2ครั้ง ครั้งละ ครึ่งชั่วโมง
  3. อย่าใช้เครื่องสำอางที่มีผลต่อต่อมไขมันและผิวหน้า เช่นครีมนวดหน้า หรือ ครีมบำรุงผม ครีมแก้รอยเหี่ยวย่นที่ผสมสเตอรอยด์
  4. ออกกำลังสม่ำเสมอ
  5. อย่าให้ตัวเองเครียดจนเกินไป เพราะจะยิ่งเป็นสาเหตุให้เป็นสิวมากขึ้น
  6. ห้าม บีบสิวโดยเด็ดขาด อาจทำให้ยิ่งอักเสบและลุกลามเป็นสิวมากขึ้น 

ถ้ายังเป็นแค่สิวเสี้ยนหรือสิวหัวขาวหรือสิวหัวดำอยู่ไม่อักเสบ ควรรักษาดังนี้

ใช้ยาทาสิวอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้

  • ไอโซเทรติโนอิน ชนิด เจล ชนิด 0.05% ทาวันละครั้งก่อนนอน
  • เทรติโนอิน ชนิดเจลหรือครีม ชนิด 0.025%, 0.05% และ 0.1% ใช้ทาทั่วใบหน้า ยกเว้นซอกจมูกและรอบดวงตา วันละ 1ครั้งก่อนนอน
  • เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ ชนิดเจลหรือครีมชนิด2.5%, 5% และ 10% เริ่มต้นใช้ความเข้มข้นต่ำก่อน ให้ทาทิ้งไว้ประมาณ 5-10นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด วันละ 2ครั้ง ตอนเช้าและก่อนนอน

วันอังคารที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2555

แก้อาการเป็นตะคริวทำอย่างไร

ตะคริวเป็นอาการกล้ามเนื้อแข็งเกร็งและปวดมากซึ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และอาจเป็นในระยะเวลาไม่นาน กล้ามเนื้อที่เป็นตะคริวบ่อย เป็นบริเวณกล้ามเนื้อต้นขาและน่อง ตะคริวเป็นอาการที่พบได้บ่อยมากและพบได้เป็นครั้งคราวในคนเกือบทุกคน



สาเหตุของตะคริว

มักจะเกิดจากการใช้กล้ามเนื้อบริเวณที่เกิดตะคริวมากผิดปกติในระยะหนึ่ง เช่น เป็นตะคริวหลังออกกำลังมากผิดปกติ หรือ นั่งหรือยืนในท่าที่ไม่สะดวกเป็นเวลานาน (ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก) คนที่มีภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำก็มีโอกาสเป็นตะคริวได้บ่อย โดยเฉพาะ ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ มีโอกาสเป็นตะคริวได้บ่อยขึ้น เนื่องเพราะระดับแคลเซียมในเลือดต่ำ หรือเกิดสภาวะไหลเวียนของเลือดไปขาไม่สะดวก ผู้ป่วยโรคเบาหวาน คนสูงอายุ จะมีความดันโลหิตสูง มีโอกาสเป็นตะคริวได้มากขึ้นด้วย

ในคนที่ร่างกายเสียโซเดียม เนื่องจาก อาเจียน หรือ ท้องเดิน รวมทั้งเสียเหงื่อเป็นอันมาก (ทั้งจากการเล่นกีฬา และจากอากาศร้อน) มีโอกาสสูงที่จะเป็นตะคริวรุนแรง คือ จะเกิดกับกล้ามเนื้อหลายส่วนของร่างกายเป็นตะคริวและระยะเวลาที่เป็นจะนาน

อาการของตะคริว 

คนที่เป็นตะคริว จะรู้สึกจู่ๆกล้ามเนื้อส่วนใดส่วนหนึ่ง (เช่นที่ต้นขาหรือน่อง) เกิดการแข็งตัวของกล้ามเนื้อและจะปวดมาก ถ้าเอามือคลำบริเวณที่เกิดตะคริวจะรู้สึกแข็งเป็นก้อน ยิ่งพยายามขยับกล้ามเนื้อบริเวณนั้นยิ่งแข็งตัวและปวดมากขึ้น การยืดกล้ามเนื้อหรือนวดกล้ามเนื้อบริเวณที่เป็นตะคริว จะช่วยให้อาการหายเร็วขึ้น ปกติตะคริวจะเป็นอยู่ไม่กี่นาทีก็จะหายเอง และเมื่อหายแล้วจะรู้สึกเป็นปกติทุกอย่าง

การรักษาผู้ที่เป็นตะคริว
  • ถ้าเป็นตะคริวตอนนอนตอนกลางคืนบ่อยๆ (เช่น คนสูงอายุ หรือผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์) ควรดื่มนมก่อนนอน และควรให้หมอนรองขาเพื่อยกขาให้สูงขึ้น จากเตียงประมาณ 4 นิ้ว ในผู้สูงอายุที่เป็นตะคริวบ่อยในตอนกลางคืน ควรกินยาไดเฟนไฮดรามีน ขนาด 50 มิลลิกรัม ก่อนนอน ช่วยป้องกันตะคริวได้ ส่วนในผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ อาจกินยา แคลเซียมแลกเทด วันละ 1- 3เม็ด
  • ขณะเป็นตะคริว ให้ยืดกล้ามเนื้อส่วนที่เป็นให้ตึง ใช้มือนวดกล้ามเนื้อบริเวณที่เป็นตะคริว เช่น ถ้าเป็นตะคริวที่ต้นขาให้เหยียดเข่าให้ตรงและยกเท้าขึ้นให้สูงจากเตียงเล็กน้อยโดยกระดกปลายเท้าลงล่างด้วย
  • คนที่เป็นตะคริวที่น่อง ให้เหยียดหัวเข่าให้ตรงและดึงปลายเท้าเข้าหาเข่าให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้
  • คนที่เป็นตะคริวจากการเสียเกลือโซเดียม (เช่น เกิดจาก อาเจียน ท้องเดิน หรือเสียเหงื่อมาก) ควรดื่ม น้ำเกลือแร่ เพื่อชดเชยเกลือแร่ที่สูญเสียไป แต่ถ้าดื่มไม่ได้ ควรให้น้ำเกลือนอร์มัลซาไลน์ทางหลอดเลือดดำ - สำหรับคนที่เป็นตะคริวบ่อยๆ ควรไปพบแพทย์ เพื่อตรวจเช็คความผิดปกติของร่างกาย

วันศุกร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2555

อาหารสำหรับผู้สูงอายุที่เป็นโรคหัวใจหรือความดันโลหิตสูง

อาหารสำหรับผู้สูงอายุที่เป็นโรคหัวใจหรือความดันโลหิตสูง: ควรหลีกเลี่ยงกินอาหารเค็ม เพราะในอาหารเค็มจะมีแร่ธาตุโซเดียม ซึ่งทำให้โรคที่เป็นอยู่รุนแรงขึ้นได้ การจำกัดแร่ธาตุโซเดียมในอาหาร ยังเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาโรคความดันโลหิตสูงที่ได้ผลในผู้สูงอายุนอกเหนือไปจากการกินยา นอกเหนือไปจากการกินยา นอกจากนั้นผงชูรสก็ประกอบด้วยธาตุโซเดียม จึงไม่ควรกินมาก ปริมาณอาหารของแต่ละประเภทควรอยู่ในสัดส่วนดังนี้คือ พวกคาร์โบไฮเดรตราวร้อยละ 75 หรือ ¾ ของทั้งหมด โปรตีนราวร้อยละ 15 ส่วนไขมันนั้นส่วนใหญ่เราได้จากน้ำมันที่ใช้ประกอบอาหารซึ่งน้ำมันที่ดีควรเป็นน้ำมันพืช ยกเว้นน้ำมันจากมะพร้าวหรือน้ำมันปาล์ม เพราะกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวในน้ำมันพืช เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเนื้อเยื่อชนิดต่างๆอยู่ด้วย



ผู้สูงอายุที่เป็นโรคไตควรระมัดระวังการกินอาหาร 


ควรหลีกเลี่ยงอาหารเค็ม ถ้าเป็นโรคไตชนิดที่มีการสูญเสียเกลือแร่ออกทางปัสสาวะ ก็กินอาหารได้ตามปกติ ทั้งนี้ควรได้รับปรึกษาจากแพทย์เป็นรายๆไป อาหารประเภทโปรตีนเนื้อสัตว์โดยเฉพาะเนื้อวัวควรหลีกเลี่ยงยกเว้นเนื้อปลา ควรได้อาหารประเภทโปรตีนวันละ 20-25 กรัม เช่น หมูย่างราว 4 ไม้ เพราะหากกินมากเกินไปจะทำให้ไตที่ยังเหลือต้องทำงานหนักขึ้นกว่าที่ควร ทำให้เสื่อมลงเร็ว นอกจากนั้นต้องลดอาหารที่มีโปแตสเซี่ยม เช่น ผลไม้ ถั่วดำ ถั่วปากอ้า ส่วนผู้ที่ต้องรับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมควรปรึกษาแพทย์ที่ดูแลเป็นรายๆไป

โดยสรุป ผู้สูงอายุควรกินอาหารแต่พออิ่ม ไม่มากเกินไป จากการศึกษาในสัตว์ทดลอง พบว่ากลุ่มให้กินอาหารตามสบายจนอ้วน จะมีช่วงชีวิตสั้นกว่ากลุ่มให้อาหารแต่พอประมาณ การขวนขวายสรรหายาบำรุงเสริมสุขภาพที่โฆษณากันทั่วไปและมักมีราคาแพง ก็ไม่มีประโยชน์เพิ่มขึ้น ไม่คุ้มกับเงินที่เสียไป ถ้าผู้สูงอายุท่านนั้นกินอาหารได้ครบทั้ง 5 หมู่ และไม่มีภาวะท้องร่วงหรือโรคที่ทำให้เบื่ออาหารกินอาหารไม่ได้


การควบคุมอาหารที่ดีช่วยรักษาโรคเบาหวานได้จริง 


สัดส่วนของอาหารแต่ละประเภทสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานเหมือนกับในผู้สูงอายุที่เป็นโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง ที่สำคัญที่สุดคือ การหลีกเลี่ยงอาหารหวานทุกชนิด หรือแม้แต่เครื่องดื่มที่มีรสหวานหลีกเลี่ยงการเกิดภาวะอ้วนโดยไม่กินจุกจิก ไม่กินเสร็จแล้วเข้านอนทันที ควรมีการออกกำลังกายเสริมด้วย ประเภทการออกกำลังกายที่ต่อเนื่องอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง เช่น เดินติดต่อกันเป็นเวลา ครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมง เพื่อเผาผลาญอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่อาจถูกเปลี่ยนเป็นน้ำตาลถ้ากินมากเกินไป นอกจากนั้นการออกกำลังกาย ยังทำให้กล้ามเนื้อใช้น้ำตาลในกระแสเลือดได้ดีขึ้น ทำให้การควบคุมเบาหวานเป็นไปได้ดี สำหรับผู้สูงอายุที่ได้ยาเบาหวานอยู่ด้วย ถ้าเมื่อใด มีภาวะท้องร่วงหรือไม่สามารถกินอาหารได้จากสาเหตุใดก็ตาม ก็กลับมากินยาเบาหวานในวันต่อมา ถ้ากินไม่ได้นานเกินกว่า 2-3วัน ควรรีบปรึกษาแพทย์

วันพฤหัสบดีที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2555

อาหารสำหรับคนเป็นโรคเบาหวาน

โรคเบาหวานคือ โรคที่น้ำตาลในเลือดสูง และอันตรายมักเกิดจากโรคแทรกซ้อนที่ตามมา อันได้แก่ โรคหัวใจ หลอดเลือดเสื่อม ตาเสีย ไตเสื่อม และโรคอื่นๆอีกมาก

โรคเบาหวานได้ทำลายชีวิตคนอเมริกันเป็นอันดับ 6 และโรคนี้ตายด้วยโรคหัวใจเป็นโรคแทรกซ้อนมากที่สุด และ อีก 25%  ตายด้วยโรคเส้นโลหิตในสมองแตก โดยทั่งไป คนเป็นโรคเบาหวานจะป็นราวอายุ 50 ปีขึ้นไป ส่วนคนที่เป็นโรคนี้ตั้งแต่วัยเยาว์ก็มีแต่น้อยมากและจะเป็นรุนแรงกว่าในวัยผู้ใหญ่
80% ของคนที่เป็นโรคเบาหวานมักจะมีน้ำหนักตัวมากเกินไป ดังนั้นแพทย์จึงมักจะแนะนำให้กินอาหารที่มีกากหรือเส้นใย  (Fiber) สู



การวิจัยในต่างประเทศได้ชี้แนะว่า เราควรจะรักษาโรคเบาหวานได้ด้วยวิธีการทางธรรมชาติมี 3 ขั้นตอน กล่าวคือ
•    การรักษาด้วยอาหาร
•    การออกกำลังกาย
•    การกินไวตามินและเกลือแร่

การรักษาด้วยอาหาร ซึ่งตลอดเวลา 50 ปีที่ผ่านมานี้ เชื่อกันว่าอาหารจำพวกแป้ง เช่น ข้าว ขนมปัง และผลไม้และน้ำตาล เป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับคนที่เป็นโรคเบาหวาน และได้ส่งเสริมให้คนไข้โรคเบาหวานกินเนื้อ ไข่ นม เนย ซึ่งมีโปรตีนและไขมันสูงกันตลอดมา ปรากฏว่าการให้อาหารประเภทนี้ทำให้คนเป็นโรคเบาหวานทรุดลงทุกราย แพทย์ปัจจุบันจำนวนหลายท่านจึงมีความเห็นว่าก่อนอื่นต้องเลิกความเชื่อเรื่องอาหารดังกล่าว

ในตำราสมัยใหม่ให้เหตุผลว่า อันตรายต่อโรคเบาหวานนั้นไม่ใช่คาร์โบไฮเดรตแต่เป็นไขมันชนิดอิ่มตัว โดยไขมันชนิดอิ่มตัวนั้นจะเข้าไปขัดขวางการปฏิบัติงานของอินซูลิน ทำให้ไม่สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้

สิ่งสำคัญก็คือ ต้องให้อาหารที่มีกากหรือเส้นใย ซึ่งจะทำให้การดูดซึมอาหารต่างๆช้าลง และทำให้ความต้องการอินซูลินน้อยลงด้วย

อาหารที่แนะนำสำหรับคนที่เป็นโรคเบาหวานคือ ผลไม้ ผักสด ข้าวโพด และ ถั่วต่างๆ

การกินไวตามินและเกลือแร่ คนเป็นโรคเบาหวานมีความผิดปกติทางการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต (การที่ร่างกายนำพวกแป้งและน้ำตาลไปใช้) ไวตามินและเกลือแร่บางชนิดจะช่วยได้เฉพาะอย่างยิ่งไวตามินบีหนึ่ง ดังนั้น ถ้ากินพวกไวตามินบีคอมเพล็กซ์มากๆ ก็ได้เหมือนกัน นอกจากนั้นพบว่าคนเป็นโรคนี้ส่วนมากระดับไวตามินซีต่ำ จึงควรให้กินวันละประมาณ 1-3 กรัม

ไวตามินอี จะช่วยป้องกันตาเป็นต้อในคนเป็นโรคเบาหวาน เพราะจะช่วยป้องกันไม่ให้เกล็ดเลือดมาเกาะกันที่จอตามากนัก อาหารที่มีไวตามินอี คือ วีทเยิร์มสดๆ น้ำมันวีทเยิร์ม น้ำมันข้าวโพด ใบผักกาดเขียว ผลมะกอก เมล็ดข้าวที่ยังไม่ขัด

ธาตุโครเมี่ยม สำหรับทำให้ร่างกายใช้อินซูลินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไวตามินอื่นๆที่ควรกินสำหรับคนเป็นโรคเบาหวาน มีดังนี้คือ

อาหารที่มีไวตามินเอ เช่น ผักใบเขียว ผลไม้ ผักที่มีสีเหลืองจัด
อาหารที่มีไวตามินซี เช่น น้ำมะนาว สับปะรด มะขามป้อม มะเขือเทศดิบ ฝรั่ง กะหล่ำปลี
อาหารที่มีไวตามินบี เช่น หางนมผง ข้าวที่ยังไม่ขัด โยเกิร์ต แบล็คทรีเคิล
แคลเซียม มีอยู่ในอาหารจำพวก นมสด ขนมปังขาว ถั่วลิสง มันฝรั่ง กระเทียม
ฟอสฟอรัส มีอยู่ในอาหารจำพวกนม เนยแข็ง ไข่แดง เนื้อปลา
แมกนีเซียม มีอยู่ในอาหารจำพวก แตงกวา ส้มเกลี้ยง ผักกาดหอม
เหล็ก มีอยู่ในอาหารจำพวก ตับสัตว์ ไข่ หอยนางรม เมล็ดพืช และกระเทียม
ไอโอดิน มีอยู่ในอาหารจำพวกสาหร่ายทะเล พืชทะเลสีเขียว ผักกระเฉด เกลือที่ใช้ในการปรุงอาหาร